Page 5 - Book Corubtion Chiangmai_Plate.indd
P. 5
เกริ่นนำ�
การมีผลประโยชน์ทับซ้อน ถือเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นประเภทหนึ่ง เพราะเป็น
การแสวงหาประโยชน์ส่วนบุคคลโดยการละเมิดต่อกฎหมาย หรือจริยธรรม ด้วยการใช้อำานาจ
ในตำาแหน่งหน้าที่ไปแทรกแซง การใช้ดุลยพินิจในกระบวนการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
จนทำาให้เกิดการละทิ้งคุณธรรมในการปฏิบัติหน้าที่สาธารณะขาดความเป็นอิสระ
ความเป็นกลาง และความเป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะของส่วนรวม
และทำาให้ผลประโยชน์หลักขององค์กร หน่วยงาน สถาบันและสังคมต้องสูญเสียไป โดย
ผลประโยชน์สูญเสียไปอาจอยู่ในรูปของผลประโยชน์ทางการเงิน คุณภาพการให้บริการ
ความเป็นธรรมในสังคม รวมถึงคุณค่าอื่น ๆ ตลอดจนโอกาสในอนาคตตั้งแต่ระบบองค์กร
จนถึงระดับสังคม ตัวอย่างเช่น การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินหรือผลประโยชน์อื่นใด
จากผู้ประกอบการ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการอนุมัติการออกใบอนุญาตประกอบกิจการใด ๆ
หรือแลกเปลี่ยนกับการละเว้นการยกเว้น หรือการจัดการประมูลทรัพย์สินของรัฐเพื่อ
ประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐและพวกพ้อง ฯลฯ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลาง
ผู้ที่จงใจกระทำาความผิดยังพบผู้กระทำาความผิดโดยเจตนา หรือไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว
อีกเป็นจำานวนมาก จนนำาไปสู่การถูกกล่าวหาร้องเรียนเรื่องทุจริตหรือถูกลงโทษทางอาญา
ผลประโยชน์ทับซ้อน หรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of
interest : COI) เป็นประเด็นปัญหาทางการบริหารภาครัฐในปัจจุบันที่เป็นบ่อเกิดของปัญหา
การทุจริตประพฤติมิชอบในระดับที่รุนแรงขึ้น ยังสะท้อนปัญหาการขาดหลักธรรมาภิบาล
และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือนได้
มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ โดยประกาศใช้ใน
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์
2553 มาตรา 279 กำาหนดให้มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง
ข้าราชการ หรือเจ้าที่ของรัฐ แต่ละประเภทให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่กำาหนดขึ้น
โดยจะต้องมีกลไกและระบบในการดำาเนินงานเพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งกำาหนดขั้นตอนการลงโทษตามความร้ายแรงแห่งการกระทำา การฝ่าฝืนหรือ
ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ให้ถือว่าเป็นการกระทำาผิดทางวินัย
3